การให้การทางวาจา (Oral Hearings) ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)
ในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505
ในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ขอให้ตีความคำพิพากษาของศาลเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 กรณีปราสาทพระวิหาร (กัมพูชาฟ้องร้องไทย)
ในคำร้องนี้ กัมพูชาอ้างข้อ 60 ของธรรมนูญศาล ซึ่งกำหนดว่า “ในกรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษา ศาลฯ จะตีความคำพิพากษาเมื่อมีการร้องขอโดยคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” และกัมพูชาอ้างข้อ 98 ของข้อบังคับศาลด้วย
โดยการอ้างอิงข้อบทดังกล่าว กัมพูชาระบุในคำร้องของตนถึง “ประเด็นในข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษา” ที่เป็นปัญหา กัมพูชากล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงว่า “(1) สำหรับกัมพูชา คำพิพากษา (ที่ตัดสินโดยศาลในปี ค.ศ. 1962) อยู่บนพื้นฐานของเส้นเขตแดนที่มีอยู่แล้ว ซึ่งกำหนดขึ้นและยอมรับโดยรัฐทั้งสอง (2) สำหรับกัมพูชา เส้นเขตแดนนั้นได้ถูกกำหนดโดยแผนที่ซึ่งศาลอ้างถึงในหน้า 21 ของคำพิพากษา ... แผนที่ซึ่งทำให้ศาลตัดสินว่าอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นผลโดยตรงและอัตโนมัติจากอธิปไตยของกัมพูชาเหนือดินแดนที่ปราสาทตั้งอยู่ (3) สำหรับกัมพูชา ไทยมีพันธกรณี (ตามคำพิพากษา) ที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือเจ้าหน้าที่อื่นจากบริเวณใกล้เคียงปราสาทบนดินแดนของกัมพูชา ... นี่เป็นพันธกรณีทั่วไปและต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากถ้อยแถลงเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือดินแดนของกัมพูชา ซึ่งยอมรับโดยศาลในบริเวณนั้น” โดยกัมพูชาอ้างว่า “ไทยไม่เห็นด้วยกับประเด็นเหล่านี้ทั้งหมด”
ในวันเดียวกันกับที่ยื่นคำร้อง กัมพูชายื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลออกมาตรการชั่วคราวด้วย โดยเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนและความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายที่ไม่อาจชดเชยได้ ทั้งนี้ กัมพูชา “ร้องขอด้วยความเคารพยิ่งให้ศาลกำหนดมาตรการชั่วคราวระหว่างรอคำพิพากษา ดังต่อไปนี้
- การถอนกำลังของฝ่ายไทยทั้งหมดออกจากดินแดนเหล่านั้นของกัมพูชาซึ่งอยู่ในพื้นที่ของปราสาทพระวิหาร
- ห้ามกิจกรรมทางทหารทั้งหมดโดยไทยในพื้นที่ของปราสาทพระวิหาร
- ให้ไทยละเว้นจากการกระทำหรือการดำเนินการใดซึ่งอาจก้าวก่ายสิทธิของกัมพูชาหรือทำให้ข้อพิพาทในคดีหลักรุนแรงขึ้น
การนั่งพิจารณาของศาลเกี่ยวกับคำขอให้กำหนดมาตรการชั่วคราวดังกล่าวได้มีขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 30 และอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2554
ระหว่างการนั่งพิจารณาของศาลดังกล่าว ไทยได้ยืนยันว่าไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 ทั้งนี้ ไทยไม่เคยโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ดังที่ยอมรับไว้ในวรรคแรกของข้อบทปฏิบัติการของคำพิพากษา ยิ่งไปกว่านั้นไทยอ้างด้วยว่า
ไม่เคยโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ว่าไทยมีพันธกรณีที่ต้องถอนกำลังทหารออกจากปราสาทและบริเวณใกล้เคียง เท่าที่กำลังเหล่านั้นอยู่ในดินแดนกัมพูชา ไทยโต้แย้งว่าพันธกรณี “ณ ขณะนั้น” ได้รับการปฏิบัติตามอย่างครบถ้วนโดยไทยแล้วและไม่สามารถนำไปสู่คำพิพากษาตีความ และไทยยืนยันว่าด้วยเหตุนี้ ศาลจึงขาดอำนาจอย่างชัดเจนที่จะ “ตัดสินคำขอให้ตีความของกัมพูชา” และกำหนดมาตรการชั่วคราวดังที่ผู้ร้องขอ
ในตอนท้ายของข้อสังเกตทางวาจารอบสอง กัมพูชาได้ย้ำคำขอของตนให้มีการกำหนดมาตรการชั่วคราว ตัวแทนประเทศไทยจึงได้มีคำขอต่อไปนี้ในนามรัฐบาลไทย “ตามข้อ 60 ของข้อบังคับศาล และเมื่อพิจารณาคำขอให้มีการกำหนดมาตรการชั่วคราว และคำร้องทางวาจา ของราชอาณาจักรกัมพูชา ราชอาณาจักรไทยร้องขอต่อศาลด้วยความเคารพยิ่งให้จำหน่ายคดีที่ยื่นโดยราชอาณาจักรกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 จากสารบบ”
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 ศาลได้มีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอให้มีการกำหนดมาตรการชั่วคราว ซึ่งยื่นโดยกัมพูชา ศาลให้ข้อสังเกตแต่แรกว่า “ในชั้นต้นดูเหมือนจะมีข้อพิพาท” ระหว่างคู่ความเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 และสรุปว่าศาลไม่อาจยอมทำตามคำร้องขอของไทยให้คดีที่เสนอโดยกัมพูชาถูกจำหน่ายออกจากสารบบ จากนั้นศาลได้กำหนดมาตรการชั่วคราวต่าง ๆ ศาลตัดสินด้วยว่าคู่ความแต่ละฝ่ายควรแจ้งศาลเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวเหล่านั้น และจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาเกี่ยวกับคำขอให้ตีความ ศาลจะยังคงอำนาจในเรื่องซึ่งเป็นประเด็นแห่งคำสั่ง (ดูรายงานประจำปีของศาล ค.ศ. 2010-2011)
ตามข้อ 98 วรรค 3 ของข้อบังคับศาล ศาลได้กำหนดวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 เป็นเวลาสิ้นสุดการเสนอข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรโดยไทยเกี่ยวกับคำขอให้ตีความที่ยื่นโดยกัมพูชา ข้อสังเกตเหล่านี้ได้ถูกยื่นภายในเวลาที่กำหนด
นอกจากนี้ ตามข้อ 98 วรรค 4 ของข้อบังคับศาล ศาลได้ตัดสินใจที่จะให้โอกาสคู่ความที่จะยื่นคำอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษร (Written Explanations) และได้กำหนดวันที่ 8 มีนาคม 2555 และ 21 มิถุนายน 2555 เป็นเวลาสิ้นสุดสำหรับการยื่นคำอธิบายดังกล่าวโดยกัมพูชาและโดยไทยตามลำดับเอกสารคำร้องดังกล่าวได้ถูกยื่นภายในเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ตามข้อบทเดียวกัน ศาลได้ตัดสินใจที่จะให้โอกาสคู่ความที่จะมีการอธิบายเพิ่มเติมทางวาจา (Further Oral Explanations) ตารางเวลาของการนั่งพิจารณาที่ได้กำหนดขึ้น คือ